ประวัติพระเจ้า 5 พระองค์
ในสมัยต้นปฐมกัป มีพญากาเผือก 2 ตัวผัวเมีย
ทำรังอยู่ที่ต้นมะเดื่อริมฝั่งแม่น้ำคงคา
อันเป็นธรรมชาติสถานที่รื่นรมย์
ในเวลาต่อมาพระโพธิสัตว์
ได้ทรงปฏิสนธิเกิดในครรภ์ แม่พญากาเผือก
พร้อมกันถึง 5 พระองค์ เมื่อครบทศมาส
แม่กาเผือกก็เกิดออกไข่
ณ ที่รัง ต้นมะเดื่อจำนวน 5 ฟอง
(สถานที่นี่ ในกาลต่อมาเรียกชื่อว่า วัดพระเกิด )
แม่กาเผือก คอยเฝ้าฟักดูแลรักษาไข่
ด้วยความทะนุถนอมเป็นอย่างดี
ครั้นอยู่มาวันหนึ่งพญากาเผือก
ได้ออกไปหากิน ถิ่นแดนไกล
ได้ไปถึงสถานที่หนึ่ง
อันอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพรรณธรรมชาติ
พืชพรรณธัญญาหาร แม่กาเผือก
ได้เพลิดเพลินหากินอาหาร
ชื่นชมธรรมชาติ อันรื่นรมย์จนมืดค่ำ
พอดีฝนตกฟ้าคะนอง พายุใหญ่พัดกระหน่ำ
ทำให้มืดครึ้มทั่วไปหมด ทำให้พญากาเผือก หาหนทางออกไม่ถูก
จึงหลงในบริเวณสถานที่นั้นๆ
(สถานที่นั้นต่อมา จึงได้ชื่อว่า เวียงกาหลง)
แม่กาเผือก ได้พักอยู่ที่เวียงกาหลงคืนหนึ่ง รุ่งอรุณเบิกฟ้า แม่กาเผือก
จึงรีบถลาบินกลับสถาน ที่พัก
ณ ที่รังต้นมะเดื่อ ริมฝั่งแม่น้ำ แต่ปรากฏว่า กิ่งไม้มะเดื่อ ที่ทำรังอยู่ ได้ถูกลมพายุใหญ่
พัดหักล้มลงไป ในแม่น้ำ แม่กาเผือกตกใจ รีบบินถลาหาลูกไข่ทั้ง ๕ ในแม่น้ำ
แต่ อนิจจาหาเท่าไหร่ ก็ไม่พบ แม่กาเผือก พยามหาไข่ลูกของตน
ไปในทุกสถานที่ ตามลำน้ำ
จนเหนื่อยอ่อนเมื่อยล้า ด้วยความ
โศกเศร้าเสียใจ
ในความรักลูกอย่างสุดซึ้ง จึงไม่สามารถระงับ
ความอาลัยทุกข์ได้ ในที่สุดก็สิ้นใจไป
อย่างน่าสงสาร
#ด้วยอานิสงส์
ที่มีความเมตตารักลูก อันบริสุทธิ์ กับที่ลูกของแม่กาเผือก เป็นโพธิ์สัตว์
ถึง ๕ พระองค์ จึงเป็นบุญกุศลหนุนส่ง
ให้แม่กาเผือกตาย ไปเกิดอยู่แดนพรหมโลก ชั้นสุธาวาส มีวิมานทองคำ
สดใสบริสุทธิ์ งดงามตระการตา ได้พระนามชื่อว่า“#ฆติกามหาพรหม”
จักได้เป็นผู้ถวาย อัฏฐะบริขารบวช
แก่ลูกทั้ง ๕ พระองค์ เมื่อได้ตรัสรู้
เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ส่วนไข่ทั้ง ๕ได้ถูกลมพัดตกน้ำ
ไหลไปในสถานที่ต่างๆ
ไข่ฟองที่ ๑ มี ไก่เก็บไปดูแลรักษา
ไข่ฟองที่ ๒ แม่นาคราชเก็บไปดูแลรักษา
ไข่ฟองที่ ๓แม่เต่าเก็บไปดูแลรักษา
ไข่ฟองที่ ๔แม่โคเก็บไปดูแลรักษา
ไข่ฟองที่ ๕ แม่ราชสีห์เก็บไปดูแลรักษา
ครั้งในกาลเวลาต่อมา พระโพธิสัตว์ ทั้ง ๕
ก็ประสูติออก จากไข่ทั้ง ๕
ปรากฏเป็นมนุษย์
รูปร่างสวยสดงดงามทั้ง ๕ พระองค์ ในเวลาเดียวกัน ตามลำดับของแม่เลี้ยงทั้ง ๕
ที่นำไข่ไปเก็บดูแลรักษา พระโพธิสัตว์ทั้ง ๕
ได้เจริญเติบโต อยู่กับแม่เลี้ยง
ดัวยความ"กตัญญู"จึงรู้ทำหน้าที่ทุกอย่าง
ทดแทนบุญคุณแม่เลี้ยง เป็นอย่างดี
จนถึงอายุได้ ๑๒ ปีด้วยบุญกุศลเก่าหนุนส่ง
ก็มีจิตคิดที่จะออกบวช"เนกขัมบารมี"
เป็นฤาษีอยู่ในป่า จึงได้อำลาแม่เลี้ยงของตน
เหมือนกันทั่ง ๕ พระองค์
ฝ่ายแม่เลี้ยง ถึงจะมีความรักความอาลัย
ในลูกสักเพียงใด
แต่ก็ไม่ขัดความประสงค์เจตนา
ที่เป็นบุญกุศล อันยิ่งใหญ่ของลูกจึงได้
อนุญาตให้ลูกไปบวชเป็นฤาษี
บำเพ็ญบารมี อยู่ในป่าด้วยความ"อนุโมทนา"
ด้วยปณิธาน อันแน่วแน่ของพระโพธิสัตว์ทั้ง ๕ พระองค์
ที่มุ่งมั่นจะบำเพ็ญบารมีเพื่อพระโพธิญาณ
#เพื่อเป็นพระพุทธเจ้าโปรดสัตว์โลก
ให้พ้นจากกองทุกข์ภัยในวัฏฏะสงสาร
แม่เลี้ยงทั้ง ๕ เห็นปณิธานอย่างนั้น
จึงฝากนามของแม่เลี้ยง ไว้กับลูก
เพื่อเป็นอนุสรณ์ตำนาน
ไว้แก่โลกต่อไปในภาคหน้า
#เมื่อได้ตรัสรู้เป็นพุทธเจ้าโปรดโลกแล้ว
ตามลำดับ มีพระนามดังนี้
1. องค์ที่ ๑ มีพระนามว่า พระกกุสันโธ
เพราะตามนามแม่เลี้ยงที่ เป็นไก่
2. องค์ที่ ๒ มีพระนามว่า พระโกนาคมโน
เพราะตามนามแม่เลี้ยง เป็นนาค
3. องค์ที่ ๓ มีพระนามว่า พระกัสสโป
เพราะตามนามแม่เลี้ยง เป็นเต่า
4. องค์ที่ ๔ มีพระนามว่า พระโคตโม
เพราะตามนามแม่เลี้ยง เป็นโค
5. องค์ที่ ๕ มีพระนามว่า พระศรีอริยเมตไตรโย เพราะตามนามแม่เลี้ยงที่ เป็นราชสีห์
ในกัปนี้ ได้ชื่อว่า #ภัทรกัป เป็นกัปที่เจริญที่สุด
เพราะมีพระพุทธเจ้า เกิดขึ้นในโลกนี้ ถึง๕ พระองค์
มีพระนามตามที่กล่าวมาแล้วนั้นทั้ง ๕ พระองค์
จึงเป็นที่มาของคำว่า"นโมพุทธายะ”
นะ คือ พระกกุสันโธ
โม คือ พระโกนาคมโน
พุท คือ พระกัสสะโป
ธา คือ พระโคตโม
ยะ คือ พระศรีอริยเมตไตยโย
จนเป็นคาถาสืบต่อกันมาเป็นพุทธบูชา
แก่พระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์
#ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทั้ง ๕ พระองค์
เมื่อออกบวชเป็นฤาษีได้บำเพ็ญเพียร
พระกัมมัฏฐาน จนสำเร็จญาณ อภิญญาสมาบัติ
จึงสามารถเหาะไปหาอาหารผลไม้
ด้วยฤทธิ์ทุกพระองค์ อยู่มาวันหนึ่งได้เหาะไปหาอาหารผลไม้
และบำเพ็ญเพียรธรรม ที่ป่าดอยสิงกุตตระ
ณ ใต้ต้นนิโครธอันร่มเย็น
ด้วยกิ่งไม้สาขาใหญ่ ด้วยเหตุปัจจัย
ในกุศลบารมีธรรม ฤาทั้ง ๕ได้มาพบกัน
ณ ที่นี้ โดยไม่ได้นัดหมาย
ไม่รู้จักกันมาก่อน จึงสอบถาม
ความเป็นมาของกันและกัน จึงได้รู้แต่ว่า แต่ละองค์มีแต่แม่เลี้ยง แม่ที่แท้จริงอยู่ที่ไหน ก็ไม่รู้
#ฤาษีทั้ง ๕ ตน จึงได้ร่วมกันตั้งสัจจะอธิษฐาน ขอให้ได้พบแม่บังเกิดเกล้าที่แท้จริง
ด้วยอำนาจสัจจะอธิษฐาน ธรรมอันบริสุทธิ์
ของฤาษีทั้ง ๕จึงดังก้องไปถึงพรหมโลก
เป็นเหตุให้ท้าวฆติกามหาพรหม
ซึ่งเป็นแม่กาเผือกที่ตาย
และได้มาเกิดเป็นพรหม
ทราบเหตุการณ์ทั้งหมด จึงจำแลงเพศ
เป็นแม่กาเผือกขนสวยงาม ยิ่งนัก
มาปรากฏ อยู่ข้างหน้าฤาษีทั้ง ๕ ฝ่าย ฤาษีทั้ง ๕ ก็รู้ด้วยญาณทัศนะทันทีว่า
นี่แหละ เป็นแม่บังเกิดเกล้าที่แท้จริง
จึงสอบถามแม่กาเผือก ถึงความเป็นมา
ตั้งแต่ต้นว่า เรื่องเป็นมาอย่างไร แม่กาเผือกจึงเล่าความเป็นมาแต่หนหลัง
ครั้งทำรังอยู่ต้นมะเดื่อฝั่งแม่น้ำคงคา
อยู่มาวันหนึ่ง ได้ออกไปหาอาหารกินถิ่นแดนไกล
ถึงสถานที่ๆหนึ่ง ซึ่งอุดมสมบูรณ์ด้วย
พืชพันธ์ธัญญาหาร เป็นธรรมชาติอันสวยงาม
สงบร่มเย็น แล้วได้บังเกิดพายุใหญ่ พัดกิ่งไม้ ฝนตกฟ้าคะนอง
จนมืดค่ำ จึงหลงทางอยู่หาทางออกไม่ถูก
จนกระทั่งอรุณรุ่งวันใหม่ ฝนฟ้าพายุสงบลง
จึงรีบบินกลับมาที่พัก
มาหาลูกที่รังด้วยความเป็นห่วง
แต่ปรากฎว่าคืนที่ผ่านมาฝนตกหนัก
พายุใหญ่ได้พัดกิ่งไม้มะเดื่อหัก
ทำให้รังไข่ทั้ง ๕ ลูกแม่กาเผือก
ตกลงไปในน้ำ และได้ถูกน้ำพัด
ไหลไปในที่ต่างๆ หาเท่าไหร่ก็ไม่พบ
จนหมดความสามารถ ในที่สุด
ด้วยความรักความอาลัย อันบริสุทธิ์ที่มีต่อลูก ก็สิ้นใจตาย #ได้เกิดเป็นพระพรหมแดนพรหมโลก
ชั้นสุธาวาส มีวิมารทองคำเป็นที่อยู่ ด้วยอานิสงส์ความรัก อันเมตตา
อันบริสุทธิ์กับทั้งลูกเป็นพระโพธิสัตว์
มีบุญญาธิมาก จึงได้เกิดมาเป็นพรหม
และได้จำแลงเพศเป็นแม่กาเผือก
ให้ลูกฤาษีทั้ง ๕ได้ทราบถึงความเป็นมาทั้งหมด
เมื่อลูกฤาษีได้ทราบเหตุ เช่นนั้นแล้ว ก็รู้สึกสลดสังเวชใจเป็นอย่างยิ่ง
และสำนึก ในบุญสร้างคุณอันใหญ่หลวง
ของแม่กาเผือก จึงน้อมกราบนมัสการ
ฆติกามหาพรหม ผู้เป็นแม่
ที่ให้กำเนิดชีวิตลูก ได้สร้างบุญบารมี
พระโพธสัตว์ จึงกราบขอสัญลักษณ์อนุสรณ์
ของแม่กาเผือกผู้บังเกิดเกล้าเอาไว้บูชา
พระแม่กาเผือก จึงประทานผ้าฝ้าย
เป็นด้ายฟั่น เป็นตีนกา
สัญญาลักษณ์อนุสรณ์ของแม่กาเผือก
ประทานให้ลูกฤาษีทั้ง 5ไว้ใช้
เป็นไส้ประทีปจุดบูชาทุก วันพระ
และต่อมาเป็นประเพณีจุดประทีปตีนกา
บูชาแม่กาเผือก
ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ลอยกระทง
เป็นตำนานสืบไว้ในโลกาตลอดกาลนาน
เมื่อแม่กาเผือกฆติกามหาพรหม
ประทาน สัญลักษณ์ไว้ให้ลูกฤาษีโพธิสัตว์ทั้ง 5
แล้วก็อาลูกกลับเทวสถานวิมานของตน
บนพรหมโลก ตามเดิม
#ฤาษีโพธิสัตว์ทั้ง 5ต่างก็พากัน
ตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรรักษาศีลธรรม
ภาวนามิได้ขาด ทุกวันพระก็จุดประทีบตีนกาบูชา
พระแม่กาเผือกฆติกามหาพรหม
ผู้เป็นแม่อยู่เสมอ เป็นเวลานานหลายปี
ชีวีฤาษีทั้ง 5 ก็ดับขันธ์ได้ไปเกิด
บนเทวโลกชั้นดุสิตพิภพ
อันเป็นที่อยู่ขององค์เทพพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย
ได้เสวยทิพยสมบัติอยู่ในที่นั้น
และในกาลต่อมาก็วนเวียนบำเพ็ญบารมี
ทุกภพชาติ ที่กำเนิดเกิดในสังสารวัฏฏ์นี้
จนบารมีเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ทั้ง 30 ทัศ
แล้วก็จะได้ตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้า
#เมื่อพระองค์ไหนจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ฆติกามหาพรหมผู้เป็นแม่ต้นกัปโลกา
ก็จะนำเอาบริขารคือ บาตร ไตร จีวร
มาถวายลูกโพธิสัตว์ทั้ง 5 พระองคํ
ในชาติสุดท้าย ที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้า
โปรดโลกทุกพระองค์
กาลเวลาอันยาวนานผ่านไป
จนถึงปัจจุบันนี้ พระโพธิสัตว์ลูกแม่กาเผือกต้นปฐมกัป
ก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
โปรดโลกไปแล้วถึง 4 พระองค์ เอวัง(จบ)
เครดิต อนุโมทนาบุญ' บอกบุญ ' สร้างบารมี
ทำรังอยู่ที่ต้นมะเดื่อริมฝั่งแม่น้ำคงคา
อันเป็นธรรมชาติสถานที่รื่นรมย์
ในเวลาต่อมาพระโพธิสัตว์
ได้ทรงปฏิสนธิเกิดในครรภ์ แม่พญากาเผือก
พร้อมกันถึง 5 พระองค์ เมื่อครบทศมาส
แม่กาเผือกก็เกิดออกไข่
ณ ที่รัง ต้นมะเดื่อจำนวน 5 ฟอง
(สถานที่นี่ ในกาลต่อมาเรียกชื่อว่า วัดพระเกิด )
แม่กาเผือก คอยเฝ้าฟักดูแลรักษาไข่
ด้วยความทะนุถนอมเป็นอย่างดี
ครั้นอยู่มาวันหนึ่งพญากาเผือก
ได้ออกไปหากิน ถิ่นแดนไกล
ได้ไปถึงสถานที่หนึ่ง
อันอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพรรณธรรมชาติ
พืชพรรณธัญญาหาร แม่กาเผือก
ได้เพลิดเพลินหากินอาหาร
ชื่นชมธรรมชาติ อันรื่นรมย์จนมืดค่ำ
พอดีฝนตกฟ้าคะนอง พายุใหญ่พัดกระหน่ำ
ทำให้มืดครึ้มทั่วไปหมด ทำให้พญากาเผือก หาหนทางออกไม่ถูก
จึงหลงในบริเวณสถานที่นั้นๆ
(สถานที่นั้นต่อมา จึงได้ชื่อว่า เวียงกาหลง)
แม่กาเผือก ได้พักอยู่ที่เวียงกาหลงคืนหนึ่ง รุ่งอรุณเบิกฟ้า แม่กาเผือก
จึงรีบถลาบินกลับสถาน ที่พัก
ณ ที่รังต้นมะเดื่อ ริมฝั่งแม่น้ำ แต่ปรากฏว่า กิ่งไม้มะเดื่อ ที่ทำรังอยู่ ได้ถูกลมพายุใหญ่
พัดหักล้มลงไป ในแม่น้ำ แม่กาเผือกตกใจ รีบบินถลาหาลูกไข่ทั้ง ๕ ในแม่น้ำ
แต่ อนิจจาหาเท่าไหร่ ก็ไม่พบ แม่กาเผือก พยามหาไข่ลูกของตน
ไปในทุกสถานที่ ตามลำน้ำ
จนเหนื่อยอ่อนเมื่อยล้า ด้วยความ
โศกเศร้าเสียใจ
ในความรักลูกอย่างสุดซึ้ง จึงไม่สามารถระงับ
ความอาลัยทุกข์ได้ ในที่สุดก็สิ้นใจไป
อย่างน่าสงสาร
#ด้วยอานิสงส์
ที่มีความเมตตารักลูก อันบริสุทธิ์ กับที่ลูกของแม่กาเผือก เป็นโพธิ์สัตว์
ถึง ๕ พระองค์ จึงเป็นบุญกุศลหนุนส่ง
ให้แม่กาเผือกตาย ไปเกิดอยู่แดนพรหมโลก ชั้นสุธาวาส มีวิมานทองคำ
สดใสบริสุทธิ์ งดงามตระการตา ได้พระนามชื่อว่า“#ฆติกามหาพรหม”
จักได้เป็นผู้ถวาย อัฏฐะบริขารบวช
แก่ลูกทั้ง ๕ พระองค์ เมื่อได้ตรัสรู้
เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ส่วนไข่ทั้ง ๕ได้ถูกลมพัดตกน้ำ
ไหลไปในสถานที่ต่างๆ
ไข่ฟองที่ ๑ มี ไก่เก็บไปดูแลรักษา
ไข่ฟองที่ ๒ แม่นาคราชเก็บไปดูแลรักษา
ไข่ฟองที่ ๓แม่เต่าเก็บไปดูแลรักษา
ไข่ฟองที่ ๔แม่โคเก็บไปดูแลรักษา
ไข่ฟองที่ ๕ แม่ราชสีห์เก็บไปดูแลรักษา
ครั้งในกาลเวลาต่อมา พระโพธิสัตว์ ทั้ง ๕
ก็ประสูติออก จากไข่ทั้ง ๕
ปรากฏเป็นมนุษย์
รูปร่างสวยสดงดงามทั้ง ๕ พระองค์ ในเวลาเดียวกัน ตามลำดับของแม่เลี้ยงทั้ง ๕
ที่นำไข่ไปเก็บดูแลรักษา พระโพธิสัตว์ทั้ง ๕
ได้เจริญเติบโต อยู่กับแม่เลี้ยง
ดัวยความ"กตัญญู"จึงรู้ทำหน้าที่ทุกอย่าง
ทดแทนบุญคุณแม่เลี้ยง เป็นอย่างดี
จนถึงอายุได้ ๑๒ ปีด้วยบุญกุศลเก่าหนุนส่ง
ก็มีจิตคิดที่จะออกบวช"เนกขัมบารมี"
เป็นฤาษีอยู่ในป่า จึงได้อำลาแม่เลี้ยงของตน
เหมือนกันทั่ง ๕ พระองค์
ฝ่ายแม่เลี้ยง ถึงจะมีความรักความอาลัย
ในลูกสักเพียงใด
แต่ก็ไม่ขัดความประสงค์เจตนา
ที่เป็นบุญกุศล อันยิ่งใหญ่ของลูกจึงได้
อนุญาตให้ลูกไปบวชเป็นฤาษี
บำเพ็ญบารมี อยู่ในป่าด้วยความ"อนุโมทนา"
ด้วยปณิธาน อันแน่วแน่ของพระโพธิสัตว์ทั้ง ๕ พระองค์
ที่มุ่งมั่นจะบำเพ็ญบารมีเพื่อพระโพธิญาณ
#เพื่อเป็นพระพุทธเจ้าโปรดสัตว์โลก
ให้พ้นจากกองทุกข์ภัยในวัฏฏะสงสาร
แม่เลี้ยงทั้ง ๕ เห็นปณิธานอย่างนั้น
จึงฝากนามของแม่เลี้ยง ไว้กับลูก
เพื่อเป็นอนุสรณ์ตำนาน
ไว้แก่โลกต่อไปในภาคหน้า
#เมื่อได้ตรัสรู้เป็นพุทธเจ้าโปรดโลกแล้ว
ตามลำดับ มีพระนามดังนี้
1. องค์ที่ ๑ มีพระนามว่า พระกกุสันโธ
เพราะตามนามแม่เลี้ยงที่ เป็นไก่
2. องค์ที่ ๒ มีพระนามว่า พระโกนาคมโน
เพราะตามนามแม่เลี้ยง เป็นนาค
3. องค์ที่ ๓ มีพระนามว่า พระกัสสโป
เพราะตามนามแม่เลี้ยง เป็นเต่า
4. องค์ที่ ๔ มีพระนามว่า พระโคตโม
เพราะตามนามแม่เลี้ยง เป็นโค
5. องค์ที่ ๕ มีพระนามว่า พระศรีอริยเมตไตรโย เพราะตามนามแม่เลี้ยงที่ เป็นราชสีห์
ในกัปนี้ ได้ชื่อว่า #ภัทรกัป เป็นกัปที่เจริญที่สุด
เพราะมีพระพุทธเจ้า เกิดขึ้นในโลกนี้ ถึง๕ พระองค์
มีพระนามตามที่กล่าวมาแล้วนั้นทั้ง ๕ พระองค์
จึงเป็นที่มาของคำว่า"นโมพุทธายะ”
นะ คือ พระกกุสันโธ
โม คือ พระโกนาคมโน
พุท คือ พระกัสสะโป
ธา คือ พระโคตโม
ยะ คือ พระศรีอริยเมตไตยโย
จนเป็นคาถาสืบต่อกันมาเป็นพุทธบูชา
แก่พระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์
#ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทั้ง ๕ พระองค์
เมื่อออกบวชเป็นฤาษีได้บำเพ็ญเพียร
พระกัมมัฏฐาน จนสำเร็จญาณ อภิญญาสมาบัติ
จึงสามารถเหาะไปหาอาหารผลไม้
ด้วยฤทธิ์ทุกพระองค์ อยู่มาวันหนึ่งได้เหาะไปหาอาหารผลไม้
และบำเพ็ญเพียรธรรม ที่ป่าดอยสิงกุตตระ
ณ ใต้ต้นนิโครธอันร่มเย็น
ด้วยกิ่งไม้สาขาใหญ่ ด้วยเหตุปัจจัย
ในกุศลบารมีธรรม ฤาทั้ง ๕ได้มาพบกัน
ณ ที่นี้ โดยไม่ได้นัดหมาย
ไม่รู้จักกันมาก่อน จึงสอบถาม
ความเป็นมาของกันและกัน จึงได้รู้แต่ว่า แต่ละองค์มีแต่แม่เลี้ยง แม่ที่แท้จริงอยู่ที่ไหน ก็ไม่รู้
#ฤาษีทั้ง ๕ ตน จึงได้ร่วมกันตั้งสัจจะอธิษฐาน ขอให้ได้พบแม่บังเกิดเกล้าที่แท้จริง
ด้วยอำนาจสัจจะอธิษฐาน ธรรมอันบริสุทธิ์
ของฤาษีทั้ง ๕จึงดังก้องไปถึงพรหมโลก
เป็นเหตุให้ท้าวฆติกามหาพรหม
ซึ่งเป็นแม่กาเผือกที่ตาย
และได้มาเกิดเป็นพรหม
ทราบเหตุการณ์ทั้งหมด จึงจำแลงเพศ
เป็นแม่กาเผือกขนสวยงาม ยิ่งนัก
มาปรากฏ อยู่ข้างหน้าฤาษีทั้ง ๕ ฝ่าย ฤาษีทั้ง ๕ ก็รู้ด้วยญาณทัศนะทันทีว่า
นี่แหละ เป็นแม่บังเกิดเกล้าที่แท้จริง
จึงสอบถามแม่กาเผือก ถึงความเป็นมา
ตั้งแต่ต้นว่า เรื่องเป็นมาอย่างไร แม่กาเผือกจึงเล่าความเป็นมาแต่หนหลัง
ครั้งทำรังอยู่ต้นมะเดื่อฝั่งแม่น้ำคงคา
อยู่มาวันหนึ่ง ได้ออกไปหาอาหารกินถิ่นแดนไกล
ถึงสถานที่ๆหนึ่ง ซึ่งอุดมสมบูรณ์ด้วย
พืชพันธ์ธัญญาหาร เป็นธรรมชาติอันสวยงาม
สงบร่มเย็น แล้วได้บังเกิดพายุใหญ่ พัดกิ่งไม้ ฝนตกฟ้าคะนอง
จนมืดค่ำ จึงหลงทางอยู่หาทางออกไม่ถูก
จนกระทั่งอรุณรุ่งวันใหม่ ฝนฟ้าพายุสงบลง
จึงรีบบินกลับมาที่พัก
มาหาลูกที่รังด้วยความเป็นห่วง
แต่ปรากฎว่าคืนที่ผ่านมาฝนตกหนัก
พายุใหญ่ได้พัดกิ่งไม้มะเดื่อหัก
ทำให้รังไข่ทั้ง ๕ ลูกแม่กาเผือก
ตกลงไปในน้ำ และได้ถูกน้ำพัด
ไหลไปในที่ต่างๆ หาเท่าไหร่ก็ไม่พบ
จนหมดความสามารถ ในที่สุด
ด้วยความรักความอาลัย อันบริสุทธิ์ที่มีต่อลูก ก็สิ้นใจตาย #ได้เกิดเป็นพระพรหมแดนพรหมโลก
ชั้นสุธาวาส มีวิมารทองคำเป็นที่อยู่ ด้วยอานิสงส์ความรัก อันเมตตา
อันบริสุทธิ์กับทั้งลูกเป็นพระโพธิสัตว์
มีบุญญาธิมาก จึงได้เกิดมาเป็นพรหม
และได้จำแลงเพศเป็นแม่กาเผือก
ให้ลูกฤาษีทั้ง ๕ได้ทราบถึงความเป็นมาทั้งหมด
เมื่อลูกฤาษีได้ทราบเหตุ เช่นนั้นแล้ว ก็รู้สึกสลดสังเวชใจเป็นอย่างยิ่ง
และสำนึก ในบุญสร้างคุณอันใหญ่หลวง
ของแม่กาเผือก จึงน้อมกราบนมัสการ
ฆติกามหาพรหม ผู้เป็นแม่
ที่ให้กำเนิดชีวิตลูก ได้สร้างบุญบารมี
พระโพธสัตว์ จึงกราบขอสัญลักษณ์อนุสรณ์
ของแม่กาเผือกผู้บังเกิดเกล้าเอาไว้บูชา
พระแม่กาเผือก จึงประทานผ้าฝ้าย
เป็นด้ายฟั่น เป็นตีนกา
สัญญาลักษณ์อนุสรณ์ของแม่กาเผือก
ประทานให้ลูกฤาษีทั้ง 5ไว้ใช้
เป็นไส้ประทีปจุดบูชาทุก วันพระ
และต่อมาเป็นประเพณีจุดประทีปตีนกา
บูชาแม่กาเผือก
ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ลอยกระทง
เป็นตำนานสืบไว้ในโลกาตลอดกาลนาน
เมื่อแม่กาเผือกฆติกามหาพรหม
ประทาน สัญลักษณ์ไว้ให้ลูกฤาษีโพธิสัตว์ทั้ง 5
แล้วก็อาลูกกลับเทวสถานวิมานของตน
บนพรหมโลก ตามเดิม
#ฤาษีโพธิสัตว์ทั้ง 5ต่างก็พากัน
ตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรรักษาศีลธรรม
ภาวนามิได้ขาด ทุกวันพระก็จุดประทีบตีนกาบูชา
พระแม่กาเผือกฆติกามหาพรหม
ผู้เป็นแม่อยู่เสมอ เป็นเวลานานหลายปี
ชีวีฤาษีทั้ง 5 ก็ดับขันธ์ได้ไปเกิด
บนเทวโลกชั้นดุสิตพิภพ
อันเป็นที่อยู่ขององค์เทพพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย
ได้เสวยทิพยสมบัติอยู่ในที่นั้น
และในกาลต่อมาก็วนเวียนบำเพ็ญบารมี
ทุกภพชาติ ที่กำเนิดเกิดในสังสารวัฏฏ์นี้
จนบารมีเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ทั้ง 30 ทัศ
แล้วก็จะได้ตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้า
#เมื่อพระองค์ไหนจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ฆติกามหาพรหมผู้เป็นแม่ต้นกัปโลกา
ก็จะนำเอาบริขารคือ บาตร ไตร จีวร
มาถวายลูกโพธิสัตว์ทั้ง 5 พระองคํ
ในชาติสุดท้าย ที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้า
โปรดโลกทุกพระองค์
กาลเวลาอันยาวนานผ่านไป
จนถึงปัจจุบันนี้ พระโพธิสัตว์ลูกแม่กาเผือกต้นปฐมกัป
ก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
โปรดโลกไปแล้วถึง 4 พระองค์ เอวัง(จบ)
เครดิต อนุโมทนาบุญ' บอกบุญ ' สร้างบารมี
0 ความคิดเห็น: