ภาพยนตร์และบทสนทนา I องค์ดาไลลามะ เสด็จสวนโมกขพลาราม เมื่อวันที่ ๒๙ - ๓๐ มกราคม ปี พุทธศักราช ๒๕๑๕
องค์ดาไลลามะ เสด็จสวนโมกขพลาราม เมื่อวันที่ ๒๙ - ๓๐ มกราคม ปี พุทธศักราช ๒๕๑๕ภาพยนตร์ม้วนนี้ถ่ายด้วยฟิล์มขนาด ๘ มิลลิเมตร บันทึกเหตุการณ์เมื่อปี ๒๕๑๕ เมื่อองค์ดาไลลามะ ประมุขหัวหน้าคณะสงฆ์ และ ผู้นำทางด้านจิตวิญญาณสูงสุดของชาวทิเบต เดินทางมาเยี่ยมท่านพุทธทาสภิกขุ
ในฉบับเต็ม ภาพยนตร์บันทึกเหตุการณ์ตามลำดับ ให้เห็นเมื่อท่านดาไลลามะเดินทางมาถึงสวนโมกข์และเดินไปพบท่านพุทธทาส จากนั้นท่านพุทธทาสนำองค์ดาไลลามะเดินชมสถานที่ พาไปนั่ง ณ โต๊ะและม้าหินเพื่อสนทนา ท่านพุทธทาสเขียนผังบนกระดาษให้องค์ดาไลลามะดู แล้วพาไปดูงานประติมากรรมที่กำลังจัดทำ ดูอาคารมหรสพทางวิญญาณที่กำลังสร้าง
เมื่อถึงเวลาฉันเพล มีชาวบ้านนำอาหารมาถวายองค์ดาไลลามะ และพระทั้งวัด จากนั้นองค์ดาไลลามะแสดงปาฐกถาธรรม ท่านพุทธทาสกล่าว จนถึงเวลาที่องค์ดาไลลามะลากลับ ท่านพุทธทาสและคณะพระสงฆ์ตลอดจนชาวบ้าน ข้าราชการ พากันไปส่งองค์ดาไลลามะขึ้นรถไฟออกจากสถานีไชยา
เครดิต//Buddhadasa Archives
“อยู่ใน ใจเหนือ เกื้อโลก” คือ แนวทางท่านพระพรหมคุณาภรณ์ หรือท่าน ป.อ. ปยุตโต ให้ไว้กับสวนโมกข์กรุงเทพฯ
นัย ที่แฝงฝากคือ ให้ช่วยเพื่อนมนุษย์อยู่ในโลกได้อย่างมีใจเหนือโลก และเกื้อหนุนชาวโลก เพื่อความผาสุกร่วมกัน แนวทางของท่านพระพรหมคุณาภรณ์นี้ ตรงกับแนวทางขององค์ดาไลลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวทิเบต
เดือนมีนาคมปี54 นพ.บัญชา พงษ์พานิช และคนไทยกลุ่มหนึ่งมีโอกาสได้ฟังธรรมจากองค์ดาไลลามะ ณ ธรรมศาลา ซึ่งอยู่ในอุตรประเทศ ประเทศอินเดีย การแสดงพระธรรมเทศนาครั้งนี้ มีคนไทยไปร่วมฟังกว่า 100 คน
“เมื่อ ไปถึงปรากฏว่าคนทั้งโลกรู้ ก็มาขอเข้าฟังด้วย แรกๆ เรากราบทูลไปว่าประมาณ 100 คน แต่เอาเข้าจริง ปรากฏว่าคนทั้งโลกแจ้งความประสงค์มากว่า 5,000 คน” นพ.บัญชาบอก
พลาง อธิบายว่า เป็นธรรมเนียมอยู่ว่า เจ้าภาพต้องรับเลี้ยงทุกคน เมื่อคนไทยเป็นเจ้าภาพก็ต้องเลี้ยงคนประมาณ 5,000 คน แต่คนไทยในฐานะเจ้าภาพได้สิทธิพิเศษคือ ได้นั่งหน้าสุด
“องค์ ดาไลลามะประทับอยู่ด้านบน เราได้นั่งอยู่ด้านหน้า อย่างพวกผมไปนั่งข้างๆเลย เพราะถือว่าเป็นตัวแทน ท่ามกลางพระทิเบตนับ 1,000 รูป มานั่งหลังด้านหลังกลุ่มคนไทย”
หัวข้อธรรมที่ท่านแสดงคือ มรรควิธี 37 ประการแห่งโพธิสัตว์
องค์ดาไลลามะบอกว่า เป็นเรื่องที่จะช่วยให้คนไทยได้เรียนรู้เพิ่มเติมระหว่างแสดง ธรรมจะเน้นให้คนไทยเป็นพิเศษ สำหรับชาติอื่นๆ ที่เข้ามาร่วมฟังด้วยกันนั้น ถือว่าเป็นการฟังร่วมกันระหว่างเทศน์ ท่านทักทายและถามตลอดเวลาว่า รู้เรื่องหรือไม่ และบอกว่าเคยมาประเทศไทย ได้พบกับสมเด็จพระสังฆราช ได้เข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และได้พบท่านพุทธทาส
การแสดงธรรมของท่านเป็นอย่างไร
“ท่าน แสดงให้เห็นความสำคัญ 3 ประการ 1. ท่านมั่นคงในหลักธรรมขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านย้ำว่า หลักคำสั่งสอนของชาวพุทธทิเบตอิงตามพุทธธรรมดั้งเดิม ซึ่งสืบสายมาจากครูบาอาจารย์จากอินเดีย จากนาลันทาโดยท่านคุรุนาคารชุน และมีครูบาอาจารย์ช่วยกันแปลเป็นภาษาทิเบต สอบทานทั้งฝ่ายทิเบตและฝ่ายครูบาอาจารย์อินเดียทำให้เกิดความ แม่นยำ ตามความเชื่อเดิมเราเข้าใจว่า มหายานไปแต่งใหม่เสียมากนั้น ท่านย้ำว่าหามิได้ เป็นการอิงตามพุทธธรรมดั้งเดิม อายุเกือบ 2,000 ปีมาแล้ว”
วิธี การเทศน์ของท่าน เนื้อหาอิงพระสูตรตลอดเวลา ขณะที่พระไทยถือใบลาน แต่องค์ดาไลลามะมีพระสูตรวางอยู่เบื้องหน้า เมื่ออ่านเสร็จก็ทรงขยายความ โดยหยิบเรื่องที่เป็นปัจจุบันมาเทียบเคียง คล้ายๆกับพระสงฆ์ไทยยกคาถาในใบลานออกมา แล้วพูดต่อนั่นเอง
องค์ ดาไลลามะยกพระสูตรมา 37 ข้อ ท่านบอกด้วยว่า เอามาจากไหน ใครเขียน บอกเป็นหัวข้อๆ ไป แสดงธรรมอยู่ประมาณ 6 ชั่วโมง ในเวลา 2 วัน รอบละ 2 ชั่วโมง ท่านไล่เรียงหัวข้อไปเรื่อยๆ แล้วยังพิมพ์ข้อธรรมนั้นเป็น 3 ภาษา คืออังกฤษ ทิเบต และจีน แจกให้กับผู้เข้าฟังด้วย ถือว่าเป็นการสอนที่สุดยอด
นพ.บัญชา สรุปว่า เป็นการแสดงธรรมด้วยอัจฉริยภาพ จะด้วยความรู้ หรือความเมตตาของท่านก็ตาม ท่านสอนด้วยความร่าเริง แจ่มใส และเป็นกันเอง มีการทักทาย ยิ้ม หัวเราะ มีการถาม ตอบ ฟังเพลิดเพลินได้สาระ และแม่นยำในหลักธรรม
ด้านการจัดการ “ดีมาก ก่อนแสดงธรรมประกาศเลยว่า ภาษาใด ฟังได้จากคลื่นวิทยุคลื่นใด เราเข้าไปหยิบยืมหูฟังได้ ชาวไทยก็มีล่ามไทย บางช่วงท่านตรัสเป็นภาษาอังกฤษ บางช่วงตรัสเป็นภาษาทิเบต คนที่ฟังไม่ได้ก็ฟังแปลแทน คนฟังวิทยุกันทั้งเมือง เพราะหัวข้อที่แสดงธรรมดีมาก เราอิ่ม ดื่มด่ำกับสาระธรรม และฟังแล้วคุ้นมาก เหมือนเป็นเรื่องเดียวกับท่านพุทธทาสแสดงธรรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง
อย่าเห็นแก่ตัว สุญญ–ตา อนัตตา สุดท้ายท่านย้ำเรื่องสมถะ วิปัสสนา ต้องทำทั้งคู่”
สิ่ง ที่องค์ดาไลลามะเน้นคือ “พุทธแบบทิเบตเน้นมหากรุณา มหายานต้องเจริญเรื่องนี้ เพราะเมื่อเราพิจารณาเรื่องเมตตากรุณาให้มาก ความเป็นตัวตนก็จะเริ่มลด จะนำไปสู่จิตที่ดี และยังมีเรื่องไมตรีเข้ามา คล้ายๆกับท่านพุทธทาสสอน”
ทั้งหมดเป็นเรื่องที่เราฟังร่วมกัน
สำหรับ คนไทยแล้วมีช่วงพิเศษ เมื่อท่านบรรยายจบก็บอกว่า ช่วงบ่ายเฉพาะคนไทยให้มานั่งคุยกัน แม้ชาติอื่นๆต้องการเข้าไปร่วมด้วย แต่ไม่ได้รับโอกาสนี้ ท่านให้เข้าไปยังตำหนักที่ประทับเป็นการส่วนพระองค์
“ท่านให้เข้าไปคุยสัก 1 ชม. แต่เราคุยกัน 2 ชม.กว่า จน รปภ.บอกว่าพอได้แล้ว จบได้แล้ว”
เรื่อง ที่สนทนาธรรม “ท่านบอกว่า ไม่บรรยายแล้ว ถามมาเลย ใครอยากถามอะไรก็ให้ถาม มีคนถามว่า ท่านไปเมืองไทยเจอพุทธทาสคุยกันเรื่องอะไร พอท่านได้ยินชื่อพุทธทาส ท่านเอามือยกท่วมหัวเลย แสดงหน้าอิ่มเอมมาก เวลาเอ่ยถึงพุทธทาสก็ยกมือท่วมหัว ท่านบอกว่า ท่านได้พบพระมากมาย แต่พระองค์นี้เป็นพระที่อยู่เหมือนพระพุทธเจ้า อยู่กับดิน ธรรมชาติ ที่พักก็เล็ก ผิดกับท่านที่อยู่ตำหนักใหญ่โต มีระบบป้องกันมากมาย แต่ท่านพุทธทาสอยู่อย่างไม่มีอะไร”
ท่าน บอกว่าคุยกับท่านพุทธทาสเรื่องสุญญตา เมื่อนำรูปที่ท่านสนทนากับพุทธทาสให้ทอดพระเนตร ท่านบอกว่า “ยังบอย” เพราะเวลานั้นท่านอายุประมาณ 30 ต้นๆ เมื่อจบการสนทนาธรรม “เราถวายหนังสือท่านพุทธทาส ท่านบอกว่าพุทธทาสอิงลิชบุ๊กส์ ท่านเอาโขกหัวอยู่ตั้งนาน เป็นการบูชายิ่ง”
ข้อสงสัยเรื่องพระทิเบต บางคนบอกว่ามีเมียได้ ฉันอาหารยามวิกาลได้นั้น องค์ดาไลลามะบอกว่า พระทิเบตมีหลายแบบ มีทั้งพระแท้
และ ไม่แท้ บางคนแค่เอาชุดลามะมาสวมเท่านั้น ไม่ได้บวช ท่านยืนยันว่า ถ้าเป็นพระแท้ จะต้องยึดคำสอนของพระพุทธเจ้า จะไม่กินอาหารหลังเที่ยง มีเมียไม่ได้ ที่ทำผิดนอกรีตนอกรอยนั้น ไม่ใช่พระแท้อย่าเข้าใจผิด
“ท่านประกาศเลยว่า เลิกเสียทีพระนอกรีตนอกรอย ทำแบบนี้ ทำให้พุทธศาสนาเสียหาย ขอให้เลิกปฏิบัติ”
คำ ถามที่ นพ.บัญชาถามองค์ดาไลลามะคือ ทราบว่าตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ท่านคุยและเปลี่ยนด้านวิทยาศาสตร์โลกตะวันตกมาก จากการแลกเปลี่ยนนั้นได้แนวคิดอะไรบ้าง ท่านตอบว่า เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องคุยกับผู้ทรงความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ สมัยก่อนใครๆบอกว่าวิทยาศาสตร์อย่าไปคบ เพราะเป็นศัตรูของพุทธศาสนา แต่ท่านเห็นว่ามีความจำเป็นต้องเรียนรู้ เพราะวิทยาศาสตร์ของโลกตะวันตกก้าวหน้ามาก เราต้องยอมรับความเป็นไปของโลก
และที่ท่านพบคือ “วิทยาศาสตร์ทางจิตของโลกตะวันตกยังอนุบาล ขณะที่วิทยาศาสตร์ทางจิตของพุทธเรา และของอินเดียโบราณก้าวหน้ามาก โลกตะวันตกกำลังทึ่งและพบว่า นี่แหละคือคำตอบ ด้วยเหตุนี้เราต้องภูมิใจ และหันกลับมาสู่หลักของบรรพชน พระพุทธเจ้าทำไว้ดีแล้ว เราต้องปฏิบัติกันอย่างจริงจัง ทำให้แม่น แล้วออกไปช่วยเขา”
การ เกื้อกูลชาวโลก ต้องก้าวพ้นจากเรื่องศาสนา “เมื่อท่านคุยกับคนตะวันตก ท่านไม่เคยคิดที่จะเผยแผ่พระพุทธศาสนา แต่ท่านมองว่าเป็นเรื่องวัฒนธรรม ชาวคริสต์ควรจะถือคริสต์ต่อไป ชาวอิสลามควรนับถืออิสลามต่อไป ชาวพุทธเราต้องทำพุทธของเราให้ถูกต้อง แล้วก็ถือกันให้ถูก แล้วเอาหลักคิดที่ถูกต้องไปบอกชาวโลก ไม่ต้องไปเปลี่ยนศาสนา”
ศาสนาไม่ว่าจะเป็นศาสนาใด ถ้าเข้าใจและปฏิบัติถูกต้อง ย่อมนำมาซึ่งความสงบสุขทั้งผู้ปฏิบัติเองและคนในสังคม
แต่ถ้านับถือศาสนาอย่างไม่เข้าใจ และปฏิบัติผิดเพี้ยน ย่อมส่งผลตรงกันข้าม.
ที่มา http://pantip.com/topic/30560075
0 ความคิดเห็น: